ที่ปรึกษางานบุคคล

article

บริหารต้นทุนค่าแรงอย่างชาญฉลาด เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

กลยุทธ์ HR สำหรับผู้ประกอบการ : ทำอย่างไรจึงบริหารต้นทุนค่าแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มความสามารถการแข่งขัน

ในสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ทั้งเงินเฟ้อ ค่าครองชีพสูงขึ้น ต้นทุนวัตถุดิบพุ่ง และการแข่งขันด้านราคาเข้มข้น
ผู้ประกอบการ SME หลายคนต้องเผชิญโจทย์ยากว่า จะตั้งราคาอย่างไรให้แข่งขันได้ โดยไม่ทำให้ธุรกิจขาดทุน?

หนึ่งในต้นทุนที่สำคัญที่สุด (แต่คนมักมองไม่เห็น) คือ ต้นทุนคงที่ด้านค่าแรง
นี่คือส่วนที่เกี่ยวข้องกับเงินเดือน ค่าจ้าง สวัสดิการ ประกันสังคม OT โบนัส ค่าฝึกอบรม ฯลฯ ซึ่งหากบริหารจัดการไม่ดี

  • ในช่วงธุรกิจเติบโต → จะบวมเป็นต้นทุนที่พองตัวเกินจริง

  • ในช่วงธุรกิจหดตัว → จะเป็น “หินถ่วง” ที่ลากธุรกิจลงไปเรื่อย ๆ

ดังนั้น HR ไม่ใช่แค่ฝ่ายที่จัดการเงินเดือนหรือเขียนประกาศ แต่คือฝ่ายกลยุทธ์ที่จะช่วยบริหารต้นทุนคนให้ธุรกิจยั่งยืนได้

1. เข้าใจแนวคิดต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) และค่าแรง (Labor Cost)

ในเชิงเศรษฐศาสตร์ ต้นทุนจะแบ่งเป็น:

  • Fixed Cost → ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายไม่ว่าผลิตหรือไม่ เช่น ค่าเช่า, ค่าจ้างประจำ

  • Variable Cost → ค่าใช้จ่ายที่เปลี่ยนตามปริมาณ เช่น ค่าวัตถุดิบ, ค่าแรงรายชิ้น, ค่าขนส่ง

ค่าแรงที่อยู่ในรูปเงินเดือนพนักงานประจำ ถือเป็น Fixed Labor Cost ซึ่งจะอยู่คงที่ในงบประมาณทุกเดือน
แต่ถ้าธุรกิจจัดการดี เราสามารถควบคุมให้ต้นทุนนี้ “ให้ผลตอบแทนสูง” หรือในทางกลับกัน “ทำให้ไม่บานปลาย” ได้

2. หลักการบริหารต้นทุนค่าแรงเชิงกลยุทธ์

ในสายตาของ HR มืออาชีพ การบริหารค่าแรงจะใช้ 3 แนวทางใหญ่ ๆ:

(1) Strategic Workforce Planning → วางแผนคนให้เหมาะกับทิศทางธุรกิจ

  • ต้องตอบให้ได้ว่า “ธุรกิจของเราในอีก 1-3 ปี ต้องการคนแบบไหน ในบทบาทอะไร”

  • เลิกจ้างงานเพราะเคยทำมาแบบเดิม แต่เริ่มใช้ข้อมูล เช่น ยอดขาย, ปริมาณลูกค้า, แนวโน้มตลาด มาคำนวณคนที่เหมาะสม

(2) Performance Management → ใช้คนที่มีอยู่ให้คุ้มค่า

  • มีระบบประเมินผลที่จับต้องได้ ไม่ใช่ใช้ความรู้สึก

  • สร้าง OKR, KPI หรือเป้าหมายงานที่ทุกคนเข้าใจตรงกัน

  • วัดผล-ให้ feedback-พัฒนา อย่างสม่ำเสมอ

(3) Organization Design & Job Structure → ออกแบบงานให้ lean

  • ทบทวน job description ว่ามีงานซ้ำซ้อนหรือไม่

  • แบ่งกลุ่มงานเป็น Core (งานหลักที่สร้างรายได้) และ Non-core (งานสนับสนุนที่อาจใช้ outsourcing หรือระบบแทน)

  • ใช้เทคโนโลยี HR เช่น ระบบ HRIS, ระบบ self-service, ระบบ payroll automation มาลดต้นทุนงานซ้ำซ้อน

3. วิธีการลงมือทำ

Step 1: แยกประเภทพนักงานในองค์กร

  • กลุ่มงานที่สร้างรายได้โดยตรง → เช่น ฝ่ายขาย, ฝ่ายผลิต

  • กลุ่มงานสนับสนุน → เช่น บัญชี, HR, IT

  • กลุ่มที่อาจใช้ outsourcing ได้ → เช่น แม่บ้าน, รปภ., ขนส่ง

Step 2: วิเคราะห์ต้นทุนคนต่อหัว (Cost per Head)

  • คำนวณต้นทุนรวมต่อพนักงานหนึ่งคน (เงินเดือน + OT + สวัสดิการ + ค่าอุปกรณ์ + ค่าอบรม ฯลฯ)

  • เทียบกับผลงานหรือ output ที่สร้างได้

Step 3: ทบทวนการออกแบบงาน (Job Redesign)

  • มีใครทำงานซ้ำซ้อนหรือไม่?

  • งานนี้จำเป็นต้องมีคนทำเต็มเวลาไหม หรือสามารถปรับเป็น part-time/contract?

  • มีเทคโนโลยีอะไรที่มาเสริมแทนแรงงานได้? เช่น โปรแกรมจัดตารางงาน, ระบบ chatbot ตอบคำถาม HR, ระบบจัดการเอกสารอัตโนมัติ

Step 4: วางแผนพัฒนาคน (Upskill/Reskill)

  • ไม่จำเป็นต้องลดคนเสมอไป บางครั้งแค่พัฒนาทักษะใหม่ (multi-skilling) ก็ช่วยให้ 1 คนทำได้หลายงาน

  • สร้างแผนพัฒนารายบุคคล (IDP: Individual Development Plan)

Step 5: สื่อสารและจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management)

  • อธิบายเหตุผล ทำไมต้องปรับโครงสร้างหรือเปลี่ยนระบบ

  • ฟัง feedback และให้พื้นที่พูดคุย

  • สร้างบรรยากาศที่ทุกคนรู้ว่า เรากำลังเปลี่ยนเพื่ออยู่รอดและเติบโต ไม่ใช่แค่ลดต้นทุนแบบไร้หัวใจ

ดังนั้น ธุรกิจยุคใหม่ ไม่สามารถมอง HR เป็นฝ่ายจ่ายเงินเดือนหรือจัดประชุมพนักงานเท่านั้น
ถ้าผู้ประกอบการมี HR ที่เข้าใจกลยุทธ์ จะช่วยมองเกมขาด

  • วางแผนคนให้เหมาะสม

  • ใช้คนให้คุ้มค่า

  • ลดความสูญเสียทางต้นทุน

  • เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจอย่างยั่งยืน

การจัดการต้นทุนไม่ใช่การตัดทุกอย่างให้เล็กที่สุด
แต่คือการ จัดการทรัพยากรที่มีอย่างชาญฉลาด
และ HR จะเป็นคนที่ช่วยคุณทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้จริง

#บริหารต้นทุนธุรกิจ #กลยุทธ์HR #HRเพื่อSME #เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน #ลดต้นทุนค่าแรง #จัดการองค์กรอย่างมืออาชีพ

#HRfreelance #HRConsultant #ที่ปรึกษาSMEs #ที่ปรึกษาHR #HROD #สอนงานHR 

แชร์บทความได้ที่

Facebook
Twitter
LinkedIn

บทความเพิ่มเติม