“เมื่อแรงงานกลายเป็นของหายาก : ปี 2568 ใครไม่วางระบบคน…เตรียมรับมือความเสี่ยงล้มทั้งองค์กร”
บทนำ: วิกฤตแรงงานไม่ได้อยู่ไกลตัวอีกต่อไป
ในปี 2568 ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาแรงงานในหลายมิติที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้ง แรงงานขาดแคลน, แรงงานสูงวัยเพิ่มขึ้น, คนรุ่นใหม่ไม่อยากเข้าระบบองค์กร, และ ต้นทุนค่าจ้างสูงขึ้นจากแรงกดดันด้านนโยบาย
ธุรกิจหลายแห่งเริ่มรับรู้ว่า “คน” กลายเป็นทรัพยากรที่หาได้ยากกว่าสินค้า และเมื่อขาดคน ธุรกิจก็ไม่สามารถเดินต่อได้
คำถามสำคัญคือ: องค์กรของคุณพร้อมหรือยัง?
Part 1: ปัญหาแรงงานในปี 2568 – สัญญาณเตือนภัยที่ชัดเจน
-
แรงงานคุณภาพขาดแคลน
-
จำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
-
แรงงานต่างชาติถูกจำกัดมากขึ้น
-
คนมีทักษะเลือกงานมากขึ้น ไม่ยึดติดกับองค์กร
-
-
แรงงานสูงวัยเพิ่มขึ้นในระบบ
-
พนักงานสูงวัยยังคงทำงานต่อเพราะค่าครองชีพสูง
-
แต่องค์กรกลับไม่ปรับระบบให้รองรับการทำงานแบบยืดหยุ่นและให้คุณค่าแก่กลุ่มนี้
-
-
คนรุ่นใหม่เข้าสู่องค์กรน้อยลง
-
ไม่อยากทำงานตามเวลา
-
ชอบอิสระ ไม่อยากอยู่ภายใต้โครงสร้างเคร่งครัด
-
มองหาความหมายมากกว่าค่าตอบแทน
-
-
ต้นทุนแรงงานพุ่งสูงจากนโยบายรัฐ
-
การปรับค่าจ้างขั้นต่ำ
-
สิทธิประโยชน์ตามกฎหมายเพิ่มขึ้น
-
Part 2: หลักคิดใหม่และเครื่องมือที่องค์กรต้องเร่งใช้
1. Workforce Planning ที่เชื่อมโยงเป้าหมายธุรกิจ
-
ไม่ใช่แค่มีคนพอ แต่ต้องมีคนที่ “ใช่” และ “คุ้มค่า”
-
ใช้เครื่องมือเช่น: Workload Analysis, Skill Matrix, Manpower Forecast Model
2. ระบบบริหารผลงานที่เน้นผลลัพธ์
-
เปลี่ยนจากการบริหาร “เวลาเข้า-ออก” เป็น “ผลลัพธ์งาน”
-
แนะนำ: KPI/OKR, Flexible Work Arrangement Policy
3. การออกแบบงานใหม่ (Job Design/Re-design)
-
รวมงานบางอย่างเข้าด้วยกัน
-
ใช้เทคโนโลยีช่วยงานที่ใช้แรงงานซ้ำๆ
-
ตัวอย่าง: ใช้ HRIS/ระบบอัตโนมัติ ลดงานเอกสาร
4. การลงทุนในพัฒนาทักษะ (Upskill/Reskill)
-
ลงทุนกับคนที่มีศักยภาพให้อยู่กับองค์กรได้ยาว
-
จัดระบบการเรียนรู้ในงาน (On-the-Job Learning) + ใช้ LMS
5. พัฒนาวัฒนธรรมองค์กรและผู้นำ
-
หัวหน้าต้องไม่ใช่แค่ “สั่งงาน” แต่เป็น Coach และ People Manager
-
ใช้ Feedback Loop / Coaching Culture
Part 3: เคสตัวอย่าง (สมมติ):
1. Workforce Planning + Workload Analysis
ปัญหา:
บริษัท Startup ด้าน IT ที่มีพนักงานเพียง 15 คน แต่แต่ละคนต้องรับผิดชอบหลายหน้าที่ ทำให้เกิดความเครียด งานล้นมือ และลาออกบ่อย
แนวทางที่ใช้:
-
ทำ Workload Analysis แยกตามหน้าที่งาน → พบว่างาน Customer Service ถูกดึงไปทำโดย Developer เป็นประจำ
-
ใช้ Manpower Planning Template ดูสัดส่วนงานหลัก/รอง/แทรก
-
แยกทีม CS ออกมาชัดเจน พร้อมจ้างพนักงาน CS Part-time 1 คน
ผลลัพธ์:
-
Developer ได้โฟกัสกับงานพัฒนาโปรแกรมจริง
-
ประสิทธิภาพงานดีขึ้น 25% ภายใน 3 เดือน
-
ลดการลาออกจากความเหนื่อยล้าลง
2. ระบบบริหารผลงาน (KPI/OKR + Flexible Work Policy)
ปัญหา:
บริษัทขายของออนไลน์ต้องการขยายตลาด แต่ทีมการตลาดกลับทำงานล่าช้าเพราะไม่มี KPI ชัดเจน และพนักงานอยากทำงานจากที่บ้าน
แนวทางที่ใช้:
-
กำหนด OKR รายไตรมาส เช่น “Reach new customers 30% in Q2”
-
เปลี่ยนการวัดผลจาก “ต้องมาออฟฟิศ 5 วัน” เป็น “ส่งแผนคอนเทนต์ประจำสัปดาห์ทุกวันจันทร์ และรายงานผล Engagement ทุกวันศุกร์”
ผลลัพธ์:
-
ทีมมีความยืดหยุ่น และทำงานด้วยความรับผิดชอบ
-
แบรนด์มี Content โดนใจกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
-
ยอด Reach เพิ่ม 41% ภายในไตรมาสเดียว
3. การออกแบบงานใหม่ (Job Redesign + Automation)
ปัญหา:
บริษัท SME โรงงานอาหารมีพนักงานแอดมินฝ่ายผลิตต้องทำใบเบิกวัตถุดิบวันละ 80 ใบด้วยมือ → เสี่ยงผิดพลาดสูง และเสียเวลามาก
แนวทางที่ใช้:
-
ใช้ระบบ ERP ที่สามารถสร้างใบเบิกอัตโนมัติ
-
Redesign งานของแอดมินให้ไปโฟกัสที่การตรวจสอบข้อมูลการผลิตและประสานงานระหว่างแผนก
ผลลัพธ์:
-
ลดเวลาออกเอกสารจาก 4 ชั่วโมงต่อวัน เหลือไม่ถึง 1 ชั่วโมง
-
ลดอัตราข้อผิดพลาดจาก 9% เหลือไม่ถึง 1%
-
พนักงานมีคุณค่าในงานมากขึ้น ไม่ใช่แค่ “ทำตามใบสั่ง”
4. Upskill / Reskill + On-the-job Learning
ปัญหา:
ธุรกิจร้านอาหารเริ่มใช้ POS และระบบหลังบ้านใหม่ แต่พนักงานรุ่นเก่าปรับตัวไม่ทัน เกิดปัญหาในการรับออเดอร์ซ้ำซ้อน
แนวทางที่ใช้:
-
จัดฝึกอบรมในรูปแบบ Shadowing และ Simulation Training
-
ทำ Learning Manual เป็นคู่มือ “จิ้มสั่งยังไง จัดคิวอาหารยังไง” พร้อม QR Code สื่อวิดีโอ
ผลลัพธ์:
-
พนักงานรุ่นเก่าใช้ระบบใหม่ได้ภายใน 2 สัปดาห์
-
ลูกค้าไม่ต้องรออาหารเกินเวลา
-
ลดจำนวนออเดอร์ผิดพลาดจากวันละ 6 ครั้ง เหลือ 1 ครั้ง
5. พัฒนาวัฒนธรรมและผู้นำ (Coaching Culture + Feedback System)
ปัญหา:
บริษัท SMEs แห่งหนึ่งมีหัวหน้างานที่มักใช้คำสั่ง ไม่ฟังเสียงลูกน้อง ทำให้ทีมไม่กล้าเสนอความคิดเห็นใหม่ๆ
แนวทางที่ใช้:
-
ฝึกผู้นำระดับหัวหน้างานด้วยหลัก “Coaching Mindset”
-
สร้าง Feedback Loop แบบ “Start – Stop – Continue” ทุกสิ้นเดือน
-
นำผล Feedback ไปใช้จริงในการพัฒนาแผนก
ผลลัพธ์:
-
พนักงานเริ่มเสนอไอเดียในการแก้ปัญหา
-
บรรยากาศทำงานดีขึ้นชัดเจน
-
หัวหน้างานมีทักษะฟังอย่างลึกซึ้งและชี้นำแบบไม่สั่ง
สรุป: ถึงเวลาแล้วที่ต้อง “วางระบบก่อนเกิดวิกฤต“
แรงงานในปี 2568 ไม่ใช่แค่เรื่อง “หาคนไม่ได้” แต่คือเรื่องของ ระบบบริหารคนที่ไม่พร้อม
ถ้าองค์กรยังบริหารคนด้วยวิธีเดิม ๆ การแข่งขันในตลาดจะทำให้คุณเป็นฝ่ายตามหลังไปเรื่อย ๆ
อย่ารอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยแก้
เพราะการ “ออกแบบระบบที่ดีตั้งแต่วันนี้” คือการประกันอนาคตของธุรกิจคุณในวันข้างหน้า
ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือ HR และอยากปรับปรุงการบริหารคนในองค์กรของคุณ ทักมาพูดคุยกันได้เลย เราพร้อมให้คำปรึกษา!
@line OA : https://lin.ee/QiB2ylS
#วิกฤตแรงงาน #HRforSMEs #ขาดแคลนแรงงาน #คนไม่พอทำไงดี #วางระบบHR #ReskillUpskill #อนาคตองค์กรไทย